วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ขยัน ประหยัด ชาตินิยม สิ่งที่ชื่นชมประทับใจในเวียดนาม

ขยัน ประหยัด ชาตินิยม สิ่งที่ชื่นชมประทับใจในเวียดนาม
โดย บุญโชค พลดาหาญ


จากการที่ได้ไปศึกษาดูงานประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 16 – 20 กันยายน 2549 สิ่งที่ประทับใจในการไปศึกษาดูงานประเทศเวียดนามในครั้งนี้ มีหลายประการหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน “ขยัน ประหยัด ชาตินิยม"

จากแรงกดดันที่ชาวเวียตนามต้องทุกข์ระทมตกอยู่ภายใต้การปกครองของต่างชาติติดต่อกันเป็นเวลานาน ได้หล่อหลอมให้ “คนเวียดนาม” เป็นบุคคลที่มีความทรหดอดทน มีความขยัน ประหยัด และมีความเป็นชาตินิยม เพื่อหวังที่จะกอบกู้ชาติบ้านเมือง พัฒนาชาติบ้านเมืองของตนให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยะประเทศต่อไป ซึ่งเป็นประเด็นที่ข้าพเจ้าชื่นชมและประทับใจในเวียดนาม ขอนำเสนอในเรื่องที่ไปพบเห็นมาดังนี้

1. ด้านความขยัน

สองฝั่งถนนที่รถเราวิ่งผ่านไปในเวียดนาม ตั้งแต่เมืองฮัง (Huy), เมืองวิน(Vinh) , เมืองนีอาน (NGhe An) , จังหวัดแทงหงัว, จังหวัดไหดิ่ง, เมืองฮานอย (Ha Noi) ล้วนเต็มไปด้วยท้องนาเหลืองอร่าม และชาวเวียดนามก็ง่วนอยู่กับท้องไร่ท้องนา ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทุกคนมีร่างกายที่ทะมัดทะแมงแข็งแรง ไม่มีคนที่อ้วนเทอะทะให้เห็น ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงการสู้งาน การทำงานหนักอย่างทรหด มองไปตามบ้านเรือนยากที่จะเห็นคนนั่งคุยกันอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ต่างคนต่างไปทำงานในหน้าที่ของตน ซึ่งการทำงานส่วนใหญ่เป็นการใช้แรงงาน แทบที่จะไม่เห็นการใช้เครื่องจักรเครื่องกลในการทำงานแทนคน ทั้งการทำนา การวิดน้ำเข้านา ก็ใช้แรงงานทั้งนั้น แต่ละครอบครัวจะมีที่นาของตนเองเพียงไม่เกิน 5 ซาว ( 1 ซาว เท่ากับ 360 ตารางเมตร) หรือประมาณ 1 ไร่ ที่ดินกว่า 90 % เป็นของรัฐ ฉะนั้น ชาวเวียดนาม ต้องทำนาปีละ 3 ครั้ง จึงจะเพียงพอในการบริโภคในครอบครัว การทำนาส่วนใหญ่ จะใส่ปุ๋ยคอก เพราะไม่มีเงินจะซื้อปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ที่ดินเป็นดินทรายขาดความอุดมสมบูรณ์ ไม่ค่อยมีต้นไม้ขึ้นในที่นา ฟางข้าวจากการทำนาทุกครอบครัวจะเก็บไว้ทั้งหมด เพื่อใช้เป็นอาหารวัว,ควาย ทุกคนต้องทำงานหนัก แม้แต่พระและแม่ชีก็ต้องทำนา ปลูกผัก ผลไม้ เลี้ยงชีพเอง วัดที่เวียดนามจะมีจำนวนเพียงเล็กน้อยและมีขนาดเล็ก ๆ อยู่ในที่ห่างไกลความเจริญ ทั้ง ๆ ที่คนเวียดนามที่นับถือศาสนาประมาณ 80 – 85 % นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งที่เวียดนามมีคนที่ไม่นับถือศาสนาใดเลยจำนวนมาก (คนไม่มีศาสนา) การใช้พื้นที่ดินมีการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เว้นแต่พื้นที่ที่ยังไม่ได้เก็บกู้ลูกระเบิดในสมัยที่มีการทำสงครามในเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะมีลูกระเบิดตกค้างอยู่ไม่น้อยกว่า 1 ล้านลูก เพราะขาดงบประมาณและผู้เชี่ยวชาญในการเก็บกู้ลูกระเบิดดังกล่าว ที่จังหวัดไหดิ่ง ถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของเวียดนาม สองข้างทางเต็มไปด้วยท้องทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา

ตลอดเวลาที่อยู่เวียดนาม 5 วัน แทบไม่เห็นคนอ้วนเลย ทุกคนร่างกายผอมบาง ทะมัดทะแมง กระฉับกระเฉง ทำงานเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครอยู่นิ่งเฉย เป็นการบ่งบอกถึงความขยัน อดทน การสู้งาน ถึงแม้จะค่าแรงงานต่ำ เศรษฐกิจไม่ดี ขาดความอุดมสมบูรณ์ นับได้ว่าชาวเวียดนามเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องความขยัน ความอดทน การสู้ชีวิต

2. ด้านความประหยัด

คนเวียดนามกว่า 90 % จะใช้จักรยานเป็นยานพาหนะในการไปประกอบอาชีพ นอกจากที่เมืองใหญ่เท่านั้น ที่มีการใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่น้ำมันที่เวียดนามมีราคาถูกกว่าประเทศไทยมาก ส่วนรถยนต์นั้น เท่าที่เห็นจะเป็นรถยนต์ของทางราชการเท่านั้น คนเวียดนามจะหวงแหนรักษารถมาก เพราะถือว่าเป็นพาหนะที่สำคัญในการนำพาไปทำมาหากิน ระบบการจราจรในเวียดนามไม่ค่อยดี ไม่มีการสวมหมวกกันน็อก ทั้ง ๆ ที่มีกฎหมายการบังคับให้ใช้หมวกกันน็อกมาประมาณ 5 ปีแล้ว ราคาหมวกกันน็อกประมาณ ใบละ 20,000 – 100,000 ดอง (ประมาณ 50 – 250 บาท) , รถจักรยาน ราคาประมาณ คันละ 300,000 – 400,000 ดอง (อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน 1 บาท ประมาณ 400 ดอง), รถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่นิยมใช้ของจีน เพราะราคาถูก ราคาประมาณคันละ4.5 ล้านดอง หรือประมาณ 18,000 บาท ส่วนรถจักรยานยนต์จากประเทศไทย ราคาประมาณ 7 หมื่นบาท ซึ่งคุณภาพดีแต่ราคาสูงกว่ากันมาก การใช้ความเร็วยวดยานพาหนะ ในเมืองขับด้วยความเร็วประมาณ 30-40 กิโลเมตร/ชั่วโมง, ถ้านอกเมืองใช้ความเร็วประมาณ 70-80 กิโลเมตร/ชั่วโมง หลักการจราจรเวียดนาม คือ คนเดินเหมือนควาย ควายเดินเหมือนคน คือ ให้เดินหน้าไปเรื่อง ๆ เวลาข้ามถนน แล้วรถจะหลบเอง ซึ่งมีหลักปฏิบัติคือ รถใหญ่กลัวรถเล็ก รถเล็กกลัวคนเดินเท้า เพราะรถราคาแพงกลัวจะเสียหาย เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกันขึ้น คนเวียดนามไม่กล้าที่จะยืมเงินมาลงทุนและใช้จ่าย เพราะกลัวจะไม่มีเงินใช้หนี้คืน

คนเวียดนาม จะทานอาหารไม่มาก และไม่ทานพร่ำเพรื่อ ไม่ค่อยมีการดื่มสุรา นอกจากในเมืองใหญ่ ๆ และผู้มีฐานะดีเท่านั้น ที่มีการดื่มเบียร์กัน และเป็นการดื่มเบียร์สดเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่นิยมมีกับแกล้ม การสูบบุหรี่ ก็นิยมสูบบุหรี่ที่มวนสูบเอง ซึ่งเรียกกันว่ายาลาว และปลูกเองเป็นส่วนใหญ่ การเสริฟน้ำดื่ม แม้แต่ร้านอาหารใหญ่ ๆ ก็เสริฟน้ำโดยรินน้ำเพียง 3 ใน 5 ส่วนของแก้วน้ำดื่มเท่านั้น เมื่อเราดื่มหมดเมื่อเราขอก็จะเสริฟในปริมาณน้อย ๆ เช่นเดิม ในโรงแรมก็ไม่มีน้ำเปล่าฟรีไว้ให้ดื่ม ทุกอย่างต้องซื้อ หากต้องการดื่มน้ำเปล่า ต้องเอากาต้มน้ำไฟฟ้าไปรองน้ำจากน้ำในห้องน้ำมาต้มดื่มเอง ที่โรงแรมในช่วงกลางคืนจะมีพนักงานเพียงไม่กี่คน เพื่อประหยัดค่าแรงงานในการจ้างคน ทั้ง ๆ ที่ค่าแรงเพียงเดือนละประมาณ 4 แสน 5 หมื่นดอง หรือประมาณ 1,000 กว่าบาทเท่านั้น, ครูสอนโรงเรียนมัธยมเงินเดือนเดือนละล้านกว่าดอง หรือประมาณ 2,500 – 3000 บาท ฉะนั้น ครูจำเป็นต้องสอนพิเศษ เพื่อให้มีรายได้เพิ่มเพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และไม่นิยมไปสอนที่ห่างไกล เพราะเงินเดือนจะไม่พอกับค่าใช้จ่าย และจะต้องอยู่แบบพอเพียง คนเวียดนามทุกคนต้องประหยัด และมีการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อที่จะมีรายได้เพิ่ม โดยกรรมการหมู่บ้านจะจัดสรรที่ดินติดถนนใหญ่ให้ทุกครอบครัว ที่ดินด้านหน้าจัดให้กว้างประมาณ 3-4 เมตร เพื่อปลูกสร้างร้านค้าเล็ก ๆ ค้าขาย ทำให้มีร้านค้าเล็ก ๆ จำนวนมาก แต่มีจำนวนคนที่จะซื้อน้อยมาก ทุกครอบครัวต้องปลูกผักกินเองเพื่อยังชีพ โดยใช้ปุ๋ยมูลสัตว์และปุ๋ยชีวภาพ

นับได้ว่า คนเวียดนามเป็นแบบอย่างที่ดีได้ในเรื่องของความประหยัด การใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง การเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย การพึ่งพาตนเอง

3. ด้านชาตินิยม

เนื่องจากชาวเวียดนาม ได้ถูกต่างชาติครอบครองมานาน มีการทำศึกสงครามมาโดยตลอดในระยะเวลาอันยาวนาน เพราะการถูกกดขี่รังแกจากประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา จึงทำให้ชาวเวียดนามมีความเจ็บปวด และรวมตัวกันต่อสู้เพื่อความเป็นไท ความเป็นอิสระจากการปกครองของต่างชาติ มีความรักความสามัคคีกัน ร่วมกันฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคความยากลำบากต่าง ๆ พยายามที่จะรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของชาติเอาไว้ ไม่ว่าเป็นในเรื่องการแต่งกาย ภาษาพูด ขนบธรรมเนียมประเพณี การเคารพบูชายกย่องบรรพบุรุษ ซึ่งพวกเราได้เห็นเป็นประจักษ์ในช่วงที่ไปศึกษาดูงานในครั้งนี้ ชาวเวียดนามทุกคนพร้อมที่จะเสียสละเพื่อประเทศชาติ เสียสละได้แม้กระทั่งชีวิตในช่วงยามศึกสงคราม ศึกเดียนเบียนฟู คือประวัติศาสตร์ที่โลกจะต้องจารึกถึงความเสียสละ ความรักชาติ และความเป็นชาตินิยม ที่ชาวเวียดนามทุกหมู่เหล่าได้ทุ่มเทและอุทิศตัวในการทำศึกสงครามในครั้งนี้ จนประเทศมหาอำนาจที่มารุกรานต้องสูญเสียกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ไปเป็นจำนวนมากมาย แต่ก็ไม่อาจจะเอาชนะในการทำศึกสงครามในครั้งนี้ได้ และได้เลิกราไปในที่สุด ชาวเวียดนามได้ให้ความเคารพประธานโฮจิมิน อย่างสุดซึ้ง ทุกๆ วันจะมีคนไปเคารพศพประธานโฮจิมินที่สุสานในเมืองฮานอย เป็นจำนวนมาก เพราะชาวเวียดนามถือว่า ประธานโฮจิมิน คือผู้นำที่นำพาชาวเวียดนามปฏิวัติ ต่อสู้กับต่างชาติ จนได้เอกราชมาจนถึงทุกวันนี้ ที่สุสานจะมีทหารกองเกียรติยศ คุ้มครองดูแลศพของประธานโฮจิมินอย่างสมเกียรติ เราได้เห็นชาวเวียดนามในชุดการแต่งกายประจำชาติกันโดยทั่วไปที่เวียดนาม และตาม 2 ฝั่งถนนที่รถเราวิ่งผ่าน จะมองเห็นสุสานฝังศพของบรรพบุรุษชาวเวียดนามรวมกันอยู่เป็นบริเวณกว้างในทุกหมู่บ้าน โดยชาวเวียดนามถือว่าบรรพบุรุษ คือ ผู้ที่ให้ชีวิตให้เลือดเนื้อ และสืบทอดแผ่นดินนี้ไว้ให้เขา ชาวเวียดนามทุกคนจึงเคารพบรรพบุรุษเหนือกว่าสิ่งอื่นใด มีการฝังไว้ในสุสานของหมู่บ้าน โดยมีการฝัง 2 ครั้ง โดยฝังครั้งแรกประมาณ 3-4 ปี แล้วก็จะขุดเอากระดูกขึ้นมาทำความสะอาด และอาบด้วยน้ำหอมแล้วฝังใหม่อีกครั้ง จะไม่มีการเผาเด็ดขาด เพราะถือว่าจะทำให้บรรพบุรุษร้อนเหมือนถูกไฟเผา จะทำให้ลูกหลานที่มีชีวิตอยู่ไม่เกิดความสงบสุขร่วมเย็น จะมีการกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษเป็นประจำไม่ได้ขาด

นับได้ว่าชาวเวียดนาม มีความเป็นชาตินิยม มีความจงรักภักดีต่อชาติ ต่อผู้นำ และต่อบรรพบุรุษ เป็นอย่างสูง มีการดำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งกาย ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี ถือได้ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีที่น่าชื่นชมอีกประการหนึ่ง

โดยสรุป สิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจ จากการไปศึกษาดูงาน ที่ประเทศเวียดนามในครั้งนี้ คือ ความขยัน ความทรหดอดทนของชาวเวียดนาม ความประหยัด การใช้ชีวิตอย่างเรียบ ง่าย การพึ่งพาตนเอง ใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ทุกคนมีหัวจิตหัวใจที่เข้มแข็ง เต็มไปด้วยความรักชาติ มีความเป็นชาตินิยม มีความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง ต่อผู้นำและต่อบรรพบุรุษ มีการรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งกาย การใช้ภาษาพูด ภาษาเขียนของตนเอง การพยายามที่จะพัฒนาประเทศชาติให้เจริญเท่าทันกับนานาอารยะประเทศ ภายใต้ข้อจำกัดหลาย ๆ ประการ

ไม่มีความคิดเห็น: