วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2550

การจัดการความรู้ในชุมชนโดยชุมชนเพื่อชุมชน

การจัดการความรู้ในชุมชนโดยชุมชนเพื่อชุมชน
โดย บุญโชค พลดาหาญ


“คนเราเกิดมาล้วนไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีใส่ตน ผลจากการเกิดนานอยู่นาน ย่อมผ่านประสบการณ์ต่างๆ มามากมาย สิ่งที่ได้สิ่งที่มีที่สั่งสมมาแต่ละท่าน จะเกิดเป็นความชำนาญความเชี่ยวชาญซึ่งอาจแตกต่างกันไป ขึ้นกับการได้เรียนรู้สั่งสมมา อยากจะให้ทุกท่านภาคภูมิใจ ในส่งที่ตนมีในสิ่งที่ตนเป็น และเป็นคนเปิดใจ พร้อมที่จะรับสิ่งใหม่ใฝ่รู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา” ไม่ว่าจะจากการเรียนรู้ในวิถีชีวิตจากการทำงาน การเรียนรู้จากผู้รู้จากการอ่าน การฟังวิทยุดูโทรทัศน์ การจัดเสวนาพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ซึ่งเรียกว่าการเรียนรู้ตามอัธยาศัยตามความสนใจ หรือจากการศึกษาในระบบโรงเรียนการศึกษานอกระบบโรงเรียน

อยากเชิญชวนให้เปลี่ยนความคิดใหม่ แทนที่จะใส่ใจแต่ความรู้ในหนังสือในตำราเท่านั้น หันมาใส่ใจในความรู้ในประสบการณ์ ในความชำนาญการความเชี่ยวชาญที่แต่ละคนมี ให้คนที่มีความรู้มีประสบการณ์ในด้านเดียวกันในเรื่องเดียวกัน มารวมกันเป็นกลุ่ม ๆ จัดประชุมเสวนาพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เพื่อต่อยอดให้กันและกัน ก็จะได้องค์ความรู้ครบครันสมบูรณ์รอบด้านในเรื่องนั้น ๆ อันเป็นองค์ความรู้ที่ผ่านการกลั่นกรอง ผ่านการลองผิดลองถูกผ่านการใช้ จนเชื่อมั่นได้ว่าเหมาะสมและได้ผล สามารถรวบรวมจนเป็นตำราขึ้นมาก็ยิ่งดี หากมีอะไรคลางแคลงไม่แจ้งชัด ก็จัดเชิญผู้รู้ผู้เกี่ยวข้องตามครรลองของราชการ หรือผู้รู้ท่านอื่นจากแหล่งใดที่น่าเชื่อถือมาบอกกล่าวเติมเต็มให้ ทำไปทีละด้านทีละเรื่องทีละกลุ่ม ตามพุ่มไม้ชายคาหรือว่าในพื้นที่ปฏิบัติจริงที่เกี่ยวข้องในแต่ละเรื่อง ทำให้ครบทุกเรื่องที่แต่ละคนมี

ซึ่งบางคนอาจมีความชำนาญมีประสบการณ์ในหลาย ๆ ด้านหลาย ๆ เรื่อง นำความรู้ทุกเรื่องที่ได้ไปขยายผลสู่การปฏิบัติ และรวบรวมจัดหมวดหมู่เอาไว้ในศูนย์การเรียนชุมชนแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งหลาย เพื่อให้ผู้สนใจเข้าไปเรียนรู้ไปดูของจริง นำสิ่งที่ดีที่เหมาะสมกับตนไปปฏิบัติ เพื่อพัฒนาตนเองพัฒนาสังคมชุมชนต่อไป


หมู่บ้านใดได้ดำเนินการดังกล่าว เขาเรียกกันสมัยนี้ว่าหมู่บ้านนั้นมี “การจัดการความรู้ในชุมชน” โดยดึงเอาความรู้ประสบการณ์ ความชำนาญความเก่งแต่ละด้านแต่ละเรื่องของแต่ละคนออกมา นอกจากความรู้ในตำรับตำราที่มี บางหมู่บ้านอาจมีตะลึง นึกไม่ถึงว่ามีของดีๆ ความรู้ดี ๆ มีผู้ที่เก่งกาจมีความสามารถอยู่มากมาย หากได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน นำมาจัดการให้ดี คงไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะไปแสวงหาความรู้จากแดนไกล อันจะทำให้เสียเวลาเสียค่าใช้จ่ายไปโดยไม่จำเป็น ของดีๆสิ่งดีๆภูมิปัญญาที่เก่งๆ มีให้เห็นเต็มบ้านเต็มเมืองของเรา ถ้าเราหันมาใส่ใจในผู้คนบ้านเรา ดึงเอาศักยภาพแต่ละคนออกมาใช้อย่างเต็มที่ นำมาจัดการให้ดีอย่างมีระบบมีความต่อเนื่อง ทำให้เป็นเรื่องเป็นราวเคารพในศักยภาพแต่ละท่าน มีการยอมรับยกย่องกัน ให้ทุกคนหันมาร่วมมือกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน พึ่งพาอาศัยกันและกันภายในชุมชน ผู้คนก็จะมีความรักใคร่สามัคคีมีการช่วยเหลือกัน นำไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ของชุมชน เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ชุมชนฐานความรู้ มีการจัดการความรู้โดยผู้คนภายในชุมชนนั้น ๆ


การเริ่มต้นคนส่วนใหญ่เริ่มต้นยาก หากเริ่มได้ก็ไปได้เกือบทั้งนั้น ในเรื่องการจัดการความรู้ภายในชุมชนนี้ เป็นการดึงศักยภาพดึงความรู้ที่มีภายในตัวตนภายในชุมชนออกมาใช้ ถ้าได้มีการขับเคลื่อนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทำเป็นเรื่องปกติของหมู่บ้าน โดยกำนันผู้ใหญ่บ้านผู้ก่อการผู้นำกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งกรรมการต่าง ๆ ทั้งหลาย ให้อบต.และเทศบาลสนับสนุนในส่วนที่เกี่ยวข้อง ลองเอาไปพิจารณาจัดเวทีให้มีการพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ช่วยกันขับเคลื่อนในเรื่องนี้ ถือว่าทุกคนมีความสำคัญมีคุณค่า รับรองว่าชุมชนเข้มแข็งพึ่งตนเองได้อย่างแน่นอน

อยากวิงวอนขอร้องให้ทุกท่านระดมสรรพกำลัง นำพลังภูมิปัญญาออกมาใช้อย่างเต็มที่ ทุกคนกล้าที่จะเปิดเผยว่าต้องการรู้อะไร และใจกว้างพร้อมที่จะเป็นผู้ให้ที่จะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันและกัน เพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่มุ่งมั่นใฝ่ฝัน บ้านนี้เมืองนี้เป็นของพวกเราทุกคน หมู่บ้านไหนเริ่มต้นทำแล้วช่วยส่งข่าวบ้าง ทางเราจะเข้าไปชื่นชมยินดี และนำข่าวมาตีแผ่ให้ทราบกันต่อไป ครับผม

ไม่มีความคิดเห็น: